จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

เทคนิคการขยายพันธุ์มะนาว “ด้วยใบ” ใช้แค่ 1 ต้น แต่ขยายได้เป็นพันๆ กิ่ง!

เทคนิคการขยายพันธุ์มะนาว “ด้วยใบ” ใช้แค่ 1 ต้น แต่ขยายได้เป็นพันๆ กิ่ง!

  "มะนาว" นับเป็นพืชเศรษฐกิจอีกอย่างที่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจุบันมะนาวมีความต้องการทางตลาดสูงและราคาก็ดี โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งนั้นมะนาวมักจะมีราคาแพงเอามากๆ เลยทีเดียว
     วันนี้จึงขอนำเสนอ เทคนิคการขยายพันธุ์มะนาว “ด้วยใบ” ตามแบบฉบับของ ครูติ่ง ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ธ.ก.ส. บ้านเกาะเนียง จังหวัดสตูล มาให้ลองได้ศึกษาและลองทำดู ซึ่งสามารถขยายพันธุ์มะนาวได้ทีละมากๆ อีกด้วยค่ะ
     วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.กิ่งและใบมะนาว ที่ไม่อ่อนไม่แก่จนเกินไป
2.กาบมะพร้าว
3.มีดขนาดเล็ก
4.น้ำยาเร่งราก
5.หนังยาง
6.ถุงร้อน
7.ห้องพ่นหมอก(ถ้ามี)
     ขั้นตอนวิธีการทำ
1. นำกาบมะพร้าวมาตัดเป็นท่อนยาวราว 2.5-3 ซม. แล้วนำไปแช่น้ำไว้จนชุ่มจากนั้น เอาค้อนทุบจนกาบมะพร้าวแตกนุ่มขึ้น (ทุบเพื่อทำให้กาบมะพร้าวนุ่มและม้วนเป็นก้อนได้ง่าย)
2. เมื่อได้กาบมะพร้าวที่นุ่มดีแล้ว ให้นำมาห่อม้วนเป็นรูปทรงกลม แล้วรัดหนังยางให้แน่น จากนั้นนำตะปูทิ่มลงไปบริเวณด้านบนของกาบมะพร้าวให้เกิดรู เพื่อลดการเสียดสีเวลานำใบเสียบลงไปและง่ายต่อการเสียบกิ่งมะนาว
3. จากนั้นทำการเตรียมใบมะนาว โดยการตัดใบให้ติดกับก้านด้านบนใบเล็กน้อย ยาวประมาณ 1-1.5 ซม. ดังรูป
4. ขั้นต่อมาตัดใบมะนาวออกให้เหลือเพียงครึ่งใบ การทำแบบนี้จะให้การขยายพันธุ์มะนาวเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดภาระการคายน้ำของใบมะนาว
5. จากนั้นทำการกรีดเปลือกหุ้มก้านของใบ วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการออกรากของมะนาว โดยให้ใช้มีดกรีดตามความยาวของก้านมะนาว 1-3 รอย (ขั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังอย่ากรีดแรงเกินไปจนทำให้ก้านมะนาวขาดออกจากกัน) หากไม่ทำเช่นนี้รากจะออกเฉพาะที่ปลายรอยตัดเท่านั้น ทำให้ต้นมะนาวที่นำไปปลูกไม่แข็งแรงออกรากน้อย (ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะเพิ่มพื้นที่ในการออกรากมากขึ้นนั่นเอง)
6. จากนั้นให้นำกิ่งที่กรีดเรียบร้อยแล้ว ไปจุ่มในน้ำยาเร่งราก แล้วเอาไปผึ่งลมให้แห้งสนิท ถ้าไม่แห้งสนิทเมื่อนำไปเสียบในกาบมะพร้าวอาจจะทำให้กิ่งและใบมะนาวเน่าได้
7. เมื่อกิ่งและใบมะนาวแห้งดีแล้ว นำไปเสียบในกาบมะพร้าวที่เตรียมไว้จนมิดก้าน พอเสียบได้ 4 ก้อน ก็ให้นำนำมามัดรวมกันแล้ว ไปจุ่มน้ำให้ชุ่มแล้วใส่ไว้ในถุงร้อน ทำถุงร้อนให้พองออกแล้วมัดปากถุงให้แน่น อย่าให้ใบมะนาวสัมผัสกับถุงร้อนเด็ดขาด ถ้าเกษตรกรท่านใดมีห้องพ่นหมอก สามารถนำพันธุ์มะนาวที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้าเพาะในห้องพ่นหมอกได้เลย อากาศและความชื้นในห้องพ่นหมอกจะช่วยให้แตกรากเร็วขึ้นและที่สำคัญเพิ่มอัตราการรอดของพันธุ์มะนาวได้มาก
9. เมื่อได้ถุงที่มีก้อนกาบมะพร้าวเสียบใบมะนาวอยู่ด้านในเรียบร้อยแล้ว ให้เอาไปตั้งไว้ใต้ต้นไม้ที่มีร่มเงา ให้โดนแสงบ้างเล็กน้อย เมื่อผ่านไป 1 เดือน จะพบว่ามะนาวจะเริ่มออกรากหรือเริ่มติดตายอด หรือถ้าเป็นมะกรูดจะใช้เวลานานประมาณ 3-4 เดือน จึงจะเริ่มออกรากและติดตายอด ซึ่งถ้าจะให้สมบูรณ์ควรรอทั้งรากและตาออกมาทั้งคู่ จึงเริ่มนำไปลงถุงชำต่อไปได้เลยค่ะ
     ข้อดีในการขยายพันธุ์มะนาวด้วยใบ
     ถึงแม้ว่าเกษตรกรมีพันธุ์มะนาวที่ดี เพียงต้นเดียวก็สามารถขยายพันธุ์มะนาวได้เป็นจำนวนหลายร้อยหลายพันต้นได้ ซึ่งได้ผลผลิตจำนวนมากกว่าการปักชำกิ่มะนาวหรือการขยายพันธุ์มะนาวที่นิยมกัน


ข้อมูลและภาพจาก postnoname

“หมูยอ ตำครก” เนื้อแน่นสมใจอยาก อร่อย ถูกใจ (ซื้อกินมันแพง ทำเองซะเลย)



“หมูยอ ตำครก” เนื้อแน่นสมใจอยาก อร่อย ถูกใจ (ซื้อกินมันแพง ทำเองซะเลย)

สูตรหมูบด 1 กิโล

1. หมูบด 1 กิโล
2. แป้งสาลีเอนกประสงค์ เกือบเต็มถ้วยตวง หรือประมาณ 10 ช้อนโต๊ะแบบพูน
3. ผงเบ้กกิ้งโซดาหรือผงฟู 1 ช้อนชา
4. น้ำตาล 2-3 ช้อนชา
5. น้ำปลา 4-5 ช้อนโต๊ะ
6. พริกไทย 2-3 ช้อนชา
7. รสดีหมู 1/2 ช้อนชา
8. กระเทียมโขลก 1 หัว
9. ใบตองสำหรับห่อหมูยอ/กระดาษฟรอยด์

วิธีทำหมูยอสูตรพิเศษ

1. นำส่วนผสมทั้งหมด ผสมให้เข้ากันกับหมูบด
2. นำหมูบดที่ผสมแล้วไปแช่ช่องฟรีซประมาณ 1 ชั่วโมง
3. นำออกมาตำๆนวดๆกับครก หรือ ปั่นกับเครื่องปั่น (ใครไม่มีเครื่องปั่น ลองตำครกดูนะค่ะ)จนเนื้อแน่นหนึบและเหลวจนเป็นเนื้อเดียวกัน
4. นำไปห่อกระดาษฟรอยด์ หรือ ห่อใบตอง จะได้กลิ่นหอม แล้วนึ่งประมาณ 20-30 นาที เสร็จจร้า
ถ้าใส่ในกล่องพลาสติกเวลาสุกแล้วจะมีน้ำออกมาด้วย ให้รินน้ำออกด้วยนะค่ะ จะได้เก็บไว้ได้นานค่ะ

อีก 1 สูตร จากคุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

ส่วนผสม หมูยอ
1. หมูบด 1 กิโลกรัม (แนะนำหมูเนื้อล้วน ๆ ก็ดีนะคะ มันแน่นดี)
2. น้ำปลา 3-4 ช้อนโต๊ะ (วันนี้ใช้ตราปู 3 ตัวค่ะ)
3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
4. แป้งมันสำปะหลัง 1 ช้อนโต๊ะ
5. ผงฟู 2 ช้อนโต๊ะ
6. พริกไทย 1 ช้อนชา
7. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำหมูยอ
1. นำเครื่องปรุงทั้งหมดมาผสมกัน คนให้เข้ากันดี (ทำง่ายจริง ๆ)
2. นำหมูบดใส่อ่างผสมแล้วก็เทส่วนผสมของเหลวลงไป นวดให้เข้ากันสัก 5-10 นาที ใครมีเครื่องนวดก็ใช้ได้เลยค่ะ ประหยัดกำลังดี แต่ถ้าไม่มีเครื่องก็ทำได้นะคะ โดยใช้มือนวดค่ะ นวดจนส่วนผสมเข้ากันดี
3. หน้าตาหมูที่นวดได้ที่เป็นแบบนี้ค่ะ
4. เสร็จแล้วนำเข้าเครื่องปั่นได้เลยค่ะ ปั่นให้เนื้อละเอียด เวลาปั่นก็ให้ใส่น้ำแข็งเข้าไปสัก 2 ก้อน แล้วปั่นค่ะ
5. แบ่งปั่นครึ่งหนึ่งก่อนเพื่อไม่ให้แน่นเกินไปเนื้อจะได้เนียน ๆ ค่ะ
6. ปั่นจนเนื้อเนียนตามชอบเลยค่ะ แล้วปั่นอีกครึ่งที่เหลือให้เนียนก็พอค่ะ
7. เสร็จแล้วแนะนำให้ตักส่วนผสมไปเข้าไมโครเวฟสักช้อนนะคะ ชิมรสชาติดูค่ะ ถ้าได้รสตามต้องการก็นำไปห่อได้เลยค่ะ
วิธีห่อหมูยอใบตองแบบง่าย ๆ
1. นำใบตองกว้าง 14×14 นิ้วหรือแล้วแต่ชอบ ตัดชิ้นสี่เหลี่ยมนำมาวางซ้อนกัน 3 แผ่นนะคะ แล้วทาน้ำมันบาง ๆ แผ่นบน
2. ตักส่วนผสมใส่ตรงกลางปริมาณตามชอบค่ะ แล้วก็ห่อตามรูป ตาก็ห่อได้ไม่สวยอะไรนะคะ เอาเป็นว่าห่อตามถนัดค่ะ
3. พยายามทำให้ห่อเป็นทรงกลม ๆ แล้วพับปลายด้านหนึ่งก่อน จับตั้งขึ้นและเขย่าให้ส่วนผสมแน่น ๆ แล้วก็ตัดส่วนใบตองที่เกินออกไป พับมุมซ้าย-ขวาลงมาเป็นทรงสามเหลี่ยมแหลม ๆ แล้วก็พับปิดลงมา ทำเหมือนกันทั้งสองข้างเลยค่ะ
4. ห่อได้รูปตามชอบแล้วก็เอาพลาสติกถนอมอาหารมาห่อใบตองอีกทีเพื่อให้อยู่ทรง ไม่ต้องผูกเชือกให้ยุ่งยาก เพราะว่าผูกไม่เป็นค่ะ ห่อเรียบร้อยตามภาพค่ะ
วิธีห่อหมูยอด้วยกระดาษฟอยล์
1. วิธีนี้ง่ายสุด สะดวกสุด ยิ่งอยู่ต่างประเทศไม่มีใบตองใช้กระดาษฟอยล์ง่ายที่สุด ทำตามภาพเลยค่ะ แต่แนะนำว่าให้ห่อสัก 2 ชั้นค่ะ ที่ตาทำห่อชั้นเดียว เวลานำไปนึ่งสุกแล้วฟอยล์แตกค่ะ
2. ทำได้ตั้ง 4 ก้อน นำใส่ซึ้งนึ่งไฟแรงประมาณ 30 นาที
3. พอครบเวลาหมูยออร่อย ๆ ของเราก็สุกแล้วค่ะ ถึงหน้าตาจะไม่ได้ห่อสวยงามกลมกลึงเหมือนที่เขาขาย แต่รสชาติถูกปาก อร่อยมาก ยิ่งกินตอนร้อน ๆ สุกใหม่ ๆ กินได้ทั้งก้อนเลย หอมพริกไทย รสชาติกำลังดี อยากให้ลองทำกันดูค่ะ จะได้หมูยอ ก้อนโต ๆ ไม่ต้องเจอแต่ใบตองอีกต่อไป ถ้าทำแล้วเหลือสำหรับคนต่างประเทศให้ใส่ช่องแช่แข็งได้เลยค่ะ เก็บได้นาน เวลาจะกินก็เอาออกมาวางอุณหภูมิห้องจนเย็น ก็นำไปทอดหรือนำไปยำ รับรองอร่อยและสะอาดด้วย







ขอขอบคุณ : คุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม (ครัวตุ๊กตา)
เรียบเรียงโดย : Postsod

แจกสูตรหมักไก่ย่างวิเชียรบุรี พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด ทุกคนก็ทำได้ เพียงทำตามสูตรนี้...


สูตรหมักไก่ย่างวิเชียรบุรี พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด ทำกินง่าย ทำขายรวย

เพื่อนๆ คุณผู้อ่านสามารถนำเอาไปลองปฏิบัติลองทำกันดู จะทำกินเองภายในครอบครัว หรือจะทำเป็นอาชีพเสริม อาชีพอิสระ เพื่อหารายได้อีกทางหนึ่งก็ได้เช่นกัน ตามแต่สะดวกของแต่ละท่านกันเลย มาเริ่มกันเลยครับ

สูตรหมักไก่ย่างวิเชียรบุรี

1. ไก่ 1 ตัวขนาดประมาณ 1 กิโลกรัม/
2. ตะไคร้ 3 ต้น
3. กระเทียมไทย 20 กลีบ
4. รากผักชี 7 ราก
5. พริกไทยดำ 1 ช้อนโต๊ะ
6. ใบเตย 2 ใบ
7. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
8. ซีอิ้วขาว 1-1/2 ช้อนโต๊ะ
9. หอมแดง 4 หัว
10. นมสด 1/4 ถ้วย
11. เกลือ 1 ช้อนชา

น้ำจิ้มไก่ย่างวิเชียรบุรี สูตรที่ 1

– น้ำปลา 2-3 ช้อนโต๊ะ
– น้ำมะขามเปียกต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ
– น้ำตาลปิ๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
– น้ำมะนาว 1-2 ช้อนโต๊ะ
– ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
– พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
– ต้นหอมซอย
– ผักชีฝรั่ง
วิธีปรุง นำน้ำมะนาว น้ำตาลปิ๊บ น้ำมะขามเปียก น้ำปลา มาผสมจนเข้ากันดีแล้วชิมรสให้ได้รส เปรี้ยว หวาน เค็ม จากนั้นใส่ข้าวคั่ว พริกป่น คนให้เข้ากันแล้วโรยด้วยต้นหอมซอยผักชีฝรั่ง
น้ำจิ้มไก่ย่างวิเชียรบุรี สูตรที่ 2
– กระเทียม 5 กลีบ
– พริกชี้ฟ้าแดง 3 เม็ด
– น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยต้วง
– กระเทียมดอง 2 หัว
– เกลือ 1-2 ช้อนชา
วิธีปรุง นำเครื่องทั้งหมดมาตำให้ละเอียด แล้วนำไปตั้งไฟให้น้ำตาลละลายเป็นใช้ได้
เมื่อได้จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์กันแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการลงมือทำครับ
เริ่มต้นเลยให้เอาเนื้อไก่ที่คัดสรรมาอย่างดีแล้ว ออกมาล้างทำความสะอาดให้หมดจด ผ่าไก่ตลอดตัว แล้วผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
หลังจากนั้นนำรากผักชี ตะไคร้ ใบเตย หอมแดง มาหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อที่จะได้ง่ายในการนำมาปั่น และเครื่องปั่นของเราจะได้ไม่ทำงานหนักมากเกินไป เสร็จแล้วก็นำส่วนผสมทุกอย่างลงเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด
จากนั้นนำส่วนผสมที่ปั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วมาหมักไก่ แนะนำหมักไว้ 1 คืนเต็มๆ เลย เพราะว่าต้องการให้เครื่องเทศซึมเข้าไปในเนื้อไก่ให้มากที่สุด
เมื่อหมักไก่ได้ที่แล้ว ก็นำไก่มาย่างด้วยไฟอ่อนๆ ระหว่างย่างจะต้องทาหนังไก่ด้วยน้ำมันเพื่อให้หนังไก่มีสีสรรสวยงามน่ารับประทาน หรือท่านใดไม่มีสถานที่ที่จะก่อไฟย่างก็สามารถใช้วิธีการอบด้วยเตาอบแทนก็ได้เช่นกัน โดยใช้อุณหภูมิ 180 องศาในการอบ เริ่มจากการอบด้านในก่อนประมาณ 30 นาที จากนั้นกลับด้านเป็นด้านหนังอีกประมาณ 30-45 นาที
สามารถนำฟอร์ยมาปิดเอาไว้ก่อนได้ในระหว่างที่อบ หนังไก่จะได้ไม่ไหม้มากไป ก่อนที่เนื้อจะสุก
ระหว่างที่เราอบให้พยายาม หมุนตัวไก่ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ความร้อน ถูกตัวไก่อย่างสม่ำเสมอด้วย พอย่างหรืออบเสร็จแล้วก็เอามาหั่นเป็นชิ้น ๆ เสริฟคู่น้ำจิ้มที่ได้แนะนำไว้ตามข้างต้นได้ตามใจชอบเลยครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก http://thaiesarnrecipes.com/?p=822

ตรวจเช็คที่ดิน วัดที่ดินง่ายๆ เพียงไม่นาที ด้วยโทรศัพท์มือถือ

ตรวจเช็คที่ดิน วัดที่ดินง่ายๆ เพียงไม่นาที ด้วยโทรศัพท์มือถือ

ตรวจเช็คที่ดิน วัดที่ดินง่ายๆ เพียงไม่นาที ด้วยโทรศัพท์มือถือ



หลาคนไม่เคยรู้ว่าจริงๆแล้ว การตรวจเช็คพื้นที่ รวมถึงการวัดที่ดินที่เราอยากรู้นั้น สามารถวัดได้จากโทรศัพท์มือถือที่เราได้ใช้อยู่ ไม่ต้องเปลืองแรงลงพื้นที่ เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น คุณจะรู้คำตอบได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้ เพราะเป็นการอ้างอิงโดยการใช้ GPS

ขั้นตอนการเช็ก


ในขั้นตอนแรกนี้ ให้เราเริ่มต้นโดยการโหลดแอพที่มีชื่อว่า Ling วัดที่ดินมาก่อน



เมื่อดโหลดเสร็จให้เราเข้าไปที่แอพ ในหน้าจอจะขึ้นแผนที่ให้เราซูมเข้าซูมออก ดูได้ตามปกติ



ขั้นต่อถัดมาให้เราค้นหาตำแหน่งที่เราต้องการวัด อย่างเช่น ในตัวอย่างต้องการวัดขนาดที่ดิน สวนลุม



จากนั้นให้เราครอบพื้นที่ที่เราอยากรู้ เทื่อครบทุกมุมแล้วให้เรากดไปที่เครื่องหมายบวก หน้าจอจะขึ้นเป็นตัวเลขในแต่ละหลักเขตขึ้นมาบอกเรา แล้วทำการเลื่อนไปที่หัวมุมต่อๆไป



เมื่อเราทำการวางครบในทุกมุมที่เราอยากจะรู้แล้ว  หน้าจอจะขึ้นแสดงผลพื้นที่ว่ามีขนาดเท่าไหร่ ซึ่งเป็นการวัดโดยการคำนวนจากพิกัด GPS เมื่อวัดเสร็จแล้วเราสามารถ ตั้งชื่อ บันทึก และ เซฟเก็บไว้ในเครื่อง หรือ จะแชร์ให้เพื่อน ให้ลูกค้าที่สนใจซื้อดูข้อมูลที่ดินนี้ก็ได้

นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ได้ให้ความสะดวกความสบายอย่างมาก เพราะสามารถเชื่อถือได้ ที่สำคัญใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเราก็รู้ผลแล้ว หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Kim Property Live

หมดปัญหา “เล็บขบ” กวนใจ แก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ง่ายๆ แค่พริบตาเดียว!

หมดปัญหา “เล็บขบ” กวนใจ แก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ง่ายๆ แค่พริบตาเดียว!


ใครไม่เคยเป็น “เล็บขบ” ไม่รู้หรอกว่ามันทรมานขนาดไหน จะย่างกรายไปทางไหนก็แสนจะเจ็บปวด ยิ่งหนองแตกยิ่งปวดหนักเป็นสองเท่า บางคนเป็นหนัก ๆ ถึงกับต้องถอดเล็บ โอ้ย…แค่คิดก็ทรมานแล้ว ใครที่เป็นเล็บขบอยู่ต้องหาวิธีรักษาแล้วล่ะค่ะ ส่วนใครที่ไม่อยากเป็นเล็บขบ ต้องอ่าน !

เล็บขบเกิดจากอะไร
ใคร ๆ ก็รู้ใช่ไหมว่า “เล็บ” มีหน้าที่ป้องกันอันตรายให้นิ้ว และส่วนนี้จะไม่มีเส้นประสาทอยู่ ทำให้เราไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเกิดโรคขึ้นกับเล็บ แต่ถ้าเกิดโรคนั้นกินเข้าไปถึงผิวหนังแล้วล่ะก็ “เล็บ” ก็สร้างความปวดร้าวให้เจ้าของเล็บสุด ๆ เลยล่ะ
โดยเฉพาะ “เล็บขบ” (Unguis Incarnatus) โรคเล็บที่เกิดขึ้นได้บ่อยมาก ๆ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิด “เล็บขบ” ได้ก็คือ
1. การใส่รองเท้าที่บีบมากเกินไป เพราะจะทำให้เนื้อที่อยู่ด้านข้างของเล็บถูกบีบเข้ามา เล็บก็เลยไปกดเนื้อด้านข้าง เมื่อเล็บงอกมันก็จะงอกลึกลงไปในเนื้อ ทำให้รู้สึกเจ็บปวด นอกจากนี้ การใส่รองเท้าส้นสูงเกินไป ปลายเท้าแหลมเกินไป ก็ทำให้เท้าถูกบีบจนเล็บงอกตามปกติไม่ได้ ต้องกินเข้าไปในเนื้อ
2. การตัดเล็บไม่ถูกวิธี หลายคนตัดเล็บด้านข้างเป็นมุมแหลมชิดเนื้อ หรือลึกเกินไปนั่นเอง ทำให้เล็บงอกใหม่ไปทิ่มที่ซอกเล็บ จนเกิดแผลและมีอาการปวดตามมา หรือบางคนชอบแต่งเล็บให้โค้งเข้าในซอกเล็บมากเกินไป และชอบแคะ ขูด งัดซอกเล็บบ่อย ๆ
3. การติดเชื้อราที่เล็บ
4. อุบัติเหตุ เช่น ปลายนิ้วเท้าชอบไปชนอะไรบ่อย ๆ ทำให้เล็บฉีกขาดแทงเข้าไปในซอกเล็บได้ หรือการเล่นกีฬา เช่น เทนนิส แบดมินตัน ฟุตบอล บาสเกตบอล ซึ่งทำให้กระดูกนิ้วทำงานหนัก
5. การมีเล็บเท้าที่กว้างกว่าปกติ หรือเกิดจากการที่นิ้วเท้ามาซ้อนเกย หรือเบียดกัน
และวันนี้จะพาไปดูวิธีการเอาเล็บขบออก โดยการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์คล้ายๆ มีด หรือว่า สิ่วเจาะ ต้องบอกเลยว่าแค่พริบตาเดียวก็เอาเล็บขบออกได้แล้ว จะเป็นยังไงนั้นตามไปดูกันเลย
คลิป
เป็นยังไงกันบ้าง เอาออกง่ายมากๆเลยใช่ไหม ใช้เวลาแค่นิดเดียวก็สามารถเอาเจ้าเล็บขบที่ทำให้คุณปวดแทบจะเดินไม่ได้นั้นออก เป็นวิธีที่ง่ายและเจ๋งมากๆ โดยไม่ต้องถอดเล็บให้เจ็บปวดอีกต่อไป เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เล็บขบหายแน่นอน100%
ที่มา คิดได้ไง
ขอบคุณบทความ จาก http://สาระน่ารู้.com/สุขภาพ